
กลุ่มยาแก้ปวดและยาพาราเซตามอล (Analgesics and Paracetamol) กลุ่มยาแก้ปวด (Analgesics/อะนัลเจสิค) หมายถึง ยาประเภทต่างๆที่ใช้รักษาบรรเทาอา การปวด ซึ่งอาการปวดมีหลายแบบเช่น ปวดหัว/ปวดศีรษะ ปวดฟัน ปวดกล้ามเนื้อ ปวดกระดูก ปวดท้อง ปวดข้อ และปวดหลัง อาการปวดบางชนิดสามารถหายได้เองโดยไม่ต้องใช้ยา เพียงพักผ่อนให้เพียงพอ ร่าง กายจะกำจัดของเสียที่เกิดขึ้นในกล้ามเนื้อ อาการปวดก็ทุเลาลง แต่อาการปวดบางอย่างต้องรีบรักษาเช่น ปวดศีรษะจากความดันโลหิตสูง ปวดเจ็บแน่นหน้าอกอาจส่ออาการเลือดไปเลี้ยงหัว ใจไม่เพียงพอ แบบนี้รอไม่ได้ ต้องรีบพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลทันที ในชีวิตประจำวันเมื่อมีอาการปวด คนเราจะใช้วิธีการที่ง่ายและสะดวกในการบรรเทาปวด โดยกินยาแก้ปวดหรือยาบรรเทาปวดเป็นอันดับแรก ทั้งนี้ยาแก้ปวดอาจจำแนกได้เป็นกลุ่มง่ายๆ ดังนี้ ยาพาราเซตามอล (Paracetamol) ) มีใช้ในประเทศไทยอย่างแพร่หลาย จัดเป็นยาสามัญประจำบ้าน หาซื้อง่าย ราคาไม่แพง ยาเอ็นเสด (NSAIDs) คือ ยาในกลุ่มต้านการอักเสบที่ไม่ใช่ยาสเตียรอยด์ โดยคำว่า เอ็นเสด/เอนเสดส์ ย่อมาจาก Non-steroidal anti-Inflammatory drugs (นอนสเตียรอยดอล แอนตี้อินเฟลมมาตอรีดรัก) เช่น ยาไอบูโปรเฟน (Ibuprofen) ยาไดโคฟีแนค (Diclofenac) ยาเมเฟนามิค (Mefenamic) ยาอินโดเมธาซิน (Indomethacin) ยาไพโรซิแคม (Piroxicam) และ ยานิมีซูไลด์ (Nimesulide) ยาคอกทูอินฮิบิเตอร์ (COX-2 Inhibitors) เช่น ยาเซเลโคซิป กลุ่มยาแก้ปวดชนิดเสพติด เช่น มอร์ฟีน (Morphine) และโคเดอีน (Codeine) ยาแก้ปวดรักษาอาการปวดได้อย่างไร? กลไกการบรรเทาปวดของยาแก้ปวดจะแตกต่างและเป็นคนละแบบกับยาชา เพราะยาชากำจัดทั้งความเจ็บปวดและทำให้ความรู้สึกถึงการสัมผัสของร่างกายสูญหายไปด้วยพร้อมๆกัน กลไกการออกฤทธิ์ของยาแก้ปวด สามารถออกฤทธิ์ระงับปวดจากความรู้สึกที่สมองหรือ ไม่ก็ออกฤทธิ์ที่อวัยวะที่มีอาการปวดโดยตรง ทั้งนี้อาจแบ่งแนวทางการออกฤทธิ์ของยาแก้ปวดได้ดังนี้ 1.ออกฤทธิ์ห้ามมิให้ร่างกายสร้างหรือหลั่งสารที่ก่อให้เกิดอาการปวด 2.ยังยั้งฤทธิ์ของสารในร่างกายที่หลั่งออกมาและทำให้รู้สึกปวด 3.ห้ามไม่ให้เม็ดเลือดขาวออกมาสร้างปฏิกิริยากับบาดแผลที่ได้รับบาดเจ็บจนก่อเกิดอา การปวด ผลอันไม่พึงประสงค์ (ผลข้างเคียง) จากยาแก้ปวดมีอะไรบ้าง? ยาทุกชนิดมีทั้งคุณและโทษ กลุ่มยาแก้ปวดหากใช้ผิดเวลา ผิดขนาด ผิดวิธี ผิดคน อาจส่งผลอันไม่พึงประสงค์ (ผลข้างเคียง) ได้มากมาย ผลอันไม่พึงประสงค์จากยาแก้ปวดที่พบบ่อยได้แก่ เป็นพิษกับตับ ไต ระคายเคืองต่อระ บบทางเดินอาหาร (กระเพาะอาหารและลำไส้) กระตุ้นความดันโลหิตให้สูงขึ้นในผู้ที่ป่วยมีโรคความดันโลหิตสูงอยู่แล้ว อาจมีผลให้เกิดโรคหัวใจ นอกจากนี้ อาจพบอาการ/ผลข้างเคียงอื่นๆตามมาเช่น ผื่นคัน ปวดศีรษะ ง่วงนอน และหอบหืด ยาแก้ปวดมีรูปแบบจำหน่ายอย่างไร? ยาแก้ปวดที่มีจำหน่ายในร้านยา โรงพยาบาล คลินิก มีหลายรูปแบบ ยกตัวอย่างเช่น ยากินเช่น ชนิดเม็ด ชนิดเม็ดที่เคลือบด้วยฟิล์มบางๆ ชนิดแคปซูล และชนิดยาน้ำ เชื่อม ยาใช้ภายนอกเช่น ยาครีม เจล และยาพ่นเสปรย์ ยาฉีดเช่น ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ และฉีดเข้าใต้ผิวหนัง ยาหยดเข้าทางหลอดเลือดโดยเจือจางกับสารละลายน้ำเกลือก่อน
นอกจากจัดจำหน่ายในรูปแบบยาเดี่ยวแล้ว ยังมีการนำยาแก้ปวดหลายตัวมาผสมรวมกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพยาเช่น นำยาพาราเซตามอลผสมร่วมกับโคเดอีน (Codeine) เป็นต้น มีคำแนะนำเลือกใช้ยาแก้ปวดไหม? การใช้ยาทุกชนิดรวมทั้งยาแก้ปวดให้ได้ผลและปลอดภัยควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์ หรือเภสัชกรเสมอ ซึ่งโดยทั่วไปมีคำแนะนำการเลือกใช้ยาแก้ปวดดังนี้ อาการปวดจากปวดเมื่อยธรรมดา ไม่ต้องใช้ยา เพียงแค่นอนพัก อาการก็จะดีขึ้นเอง ถ้าจำเป็นต้องใช้ยาแก้ปวด โดยที่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับยานั้นๆ ง่ายที่สุดให้ปรึกษา เภสัชกรที่ร้านยาใกล้บ้าน กรณีที่มีโรคประจำตัวควรต้องระมัดระวังการใช้ยาแก้ปวดต่างๆโดยเฉพาะโรค ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ หรือเมื่อมีแผลในกระเพาะอาหาร เพราะยาแก้ปวดหลายตัวจะส่งเสริมให้ความดันโลหิตสูงขึ้น หรืออาจส่งผลถึงการทำงานของหัวใจ หรือก่อให้เกิดเลือดออกจากแผลในกระเพาะอาหารได้ นอกจากนี้ ยาแก้ปวดจะถูกเปลี่ยนแปลงหรือทำลายโดยตับและขับออกทางไต ดังนั้นหากต้องใช้ยาแก้ปวดในผู้ที่มีภาวะตับและ/หรือไตผิดปกติ (โรคตับและ/หรือโรคไต) ควรให้แพทย์เป็นผู้แนะนำเท่านั้น การใช้ยาแก้ปวดในเด็กเล็กและผู้สูงอายุควรต้องได้รับคำแนะนำจากแพทย์หรือ เภสัชกร ด้วยบุคคลทั้งสองกลุ่มมีสภาพร่างกายที่ทนต่อผลข้างเคียงของยาแก้ปวดได้ต่ำกว่าผู้ที่อยู่ในวัยหนุ่มสาวหรือในผู้ใหญ่ปกติ ยาพาราเซตามอล (Paracetamol) ยาพาราเซตามอล (Paracetamol หรือ Acetaminophen) มีสรรพคุณ (คุณสมบัติ) แก้ปวดระดับน้อยไปจนถึงระดับปานกลาง แต่ไม่ช่วยลดการอักเสบของร่างกายเช่น การอักเสบจาก ถูกกระแทกฟกช้ำ ใช้เป็นยาลดไข้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ข้อดีของยาพาราเซตามอลคือ ไม่ระคายเคืองต่อกระเพาะอาหาร สามารถรับประทานพร้อม อาหารหรือขณะท้องว่างได้ ยาพาราเซตามอลมีรูปแบบจัดจำหน่ายอย่างไร? ยาพาราเซตามอลมีรูปแบบจัดจำหน่ายได้หลายรูปแบบได้แก่ - ชนิดเม็ด 325 มิลลิกรัม และ 500 มิลลิกรัม - ชนิดน้ำ 120 มิลลิกรัมใน 1 ช้อนชา และ 250 มิลลิกรัมใน 1 ช้อนชา - ชนิดหยด 60 มิลลิกรัมในน้ำ 0.6 มิลลิลิตร - ชนิดฉีด 300 มิลลิกรัมในน้ำ 2 มิลลิลิตร ยาพาราเซตามอลมีขนาดรับประทานอย่างไร? ทั้งผู้ใหญ่และเด็กมีขนาดและช่วงระยะเวลากินยาพาราเซตามอลที่ต่างกันตามอาการและการตอบสนองของร่างกาย ซึ่งเมื่อกินยาพาราเซตามอลแล้วอาการไม่ทุเลาภายใน 1 - 2 วันต้องรีบพบแพทย์เพื่อค้นหาสาเหตุและปรับแนวทางการรักษาอีกครั้ง อนึ่ง การใช้ยาพาราเซตามอลไม่ได้ขึ้นกับน้ำหนักของผู้ป่วยเพียงอย่างเดียว แต่ยังขึ้นกับโรคต่างๆของผู้ป่วยด้วยเช่น ผู้ที่มีโรคตับและ/หรือโรคไต แพทย์มักต้องปรับลดขนาดยาที่รับประทานลงทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วยเอง สำหรับผู้ใหญ่ขนาดสูงสุดที่รับประทานไม่ควรเกิน 4 กรัม/ วัน ดังนั้นถึงแม้ยาพาราเซตามอลจะเป็นยาสามัญประจำก็ไม่ควรใช้ยาพร่ำเพรื่อ ควรใช้ยาแต่ เฉพาะเท่าที่จำเป็นเท่านั้น และควรขอคำแนะนำจากแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาเสมอ เพื่อความปลอดภัยในการใช้ยา โดยเฉพาะการใช้ยาในเด็ก ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคเรื้อรังประจำตัว เมื่อมีการสั่งยาควรแจ้งแพทย์/พยาบาลและเภสัชกรอย่างไร? เมื่อมีการสั่งยาทุกชนิดรวมทั้งยาพาราเซตามอล ผู้ป่วยควรแจ้งแพทย์/พยาบาลและเภสัชกรดังนี้ ประวัติแพ้ยาทุกชนิดและอาการที่เกิดจากแพ้ยาเช่น กินยาแล้วคลื่นไส้มาก ขึ้นผื่น หรือ แน่นหายใจติดขัด/หายใจลำบาก โรคประจำตัวต่างๆรวมทั้งกำลังกินยาอะไรอยู่เช่น โรคหัวใจและโรคความดันโลหิตสูง เพราะยาอาจส่งผลให้อาการของโรคเหล่านั้นรุนแรงขึ้น หรือเกิดปฏิกิริยาระหว่างยากับยาอื่นๆที่กินอยู่ก่อนแล้ว หากเป็นสุภาพสตรีควรแจ้งว่าอยู่ในภาวะตั้งครรภ์หรือไม่หรือกำลังให้นมบุตรหรือไม่ เพราะยามักผ่านรกหรือผ่านเข้าสู่น้ำนมและเข้าสู่ทารก ก่อผลข้างเคียงต่อทารกได้ หากลืมรับประทานยาควรทำอย่างไร? หากลืมรับประทานยาพาราเตามอลสามารถรับประทานยาเมื่อนึกขึ้นได้ หากการลืมทานยาใกล้กับมื้อถัดไปให้รับประทานขนาดปกติ โดยไม่ต้องเพิ่มขนาดยาเป็น 2 เท่า ยาพาราเซตามอลมีผลไม่พึงประสงค์ (ผลข้างเคียง) ไหม? การกินยาพาราเซตามอลเป็นเวลานานติดต่อกันเกิน 5 - 7 วันหรือกินเกินขนาด (ขนาดปกติในผู้ใหญ่ที่ไม่มีโรคประจำตัวคือ กินครั้งละ 1 - 2 เม็ดทุก 6 - 8 ชั่วโมง) อาจทำให้เกิดพิษต่อตับ และการกินร่วมกับแอลกอฮอล์สามารถทำให้เกิดภาวะตับล้มเหลวได้ ซึ่งมีบางคนที่กินยาพาราเซตามอลปริมาณมากต้องทนทุกข์ทรมานด้วยสภาวะตับล้มเหลว ต้องนอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลเป็นเวลานาน ยาพาราเซตามอลมีปฏิกิริยากับยาตัวอื่นไหม? ยาพาราเซตามอลมีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาตัวอื่นดังนี้ การกินยาพาราเซตามอลร่วมกับยากดสมองส่วนกลางเช่น ยากันชัก หรือกินพร้อมกับเครื่องดื่มที่ผสมแอลกอฮอล์จะเสริมฤทธิ์ความเป็นพิษต่อตับและมีความเสี่ยงทำให้การทำงานของตับลดลง อนึ่ง ยากันชักที่มีใช้ในปัจจุบันเช่น ยาอัลโลบาร์บิทอล (Allobarbital) ยาอะไมโลบาร์บิทอล (Amylobarbitone) ยาบาร์บิทอล (Barbital) ยาบิวทอลบิทอล (Butalbital) และยาฟีนิโตอิน (Phenytoin) นอกจากนั้นการกินยาพาราเซตามอลร่วมกับยาต้านการแข็งตัวของเลือดจะทำให้การจับตัวของเกล็ดเลือดลดลงจึงอาจลดประสิทธิภาพของยาต้านการแข็งตัวของเลือดลงได้ ซึ่งยาต้านการแข็งตัวของเลือดเช่น ยาวาร์ฟาริน (Warfarin) มีข้อควรระวังในการใช้ยาพาราเซตามอลอย่างไร? มีข้อควรระวังในการใช้ยาพาราเซตามอลดังนี้ - ควรระวังเป็นพิเศษถ้าต้องใช้ยาพาราเซตามอลในผู้ป่วยที่มีสภาวะตับทำงานผิดปกติ/โรคตับ (ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาเสมอ) และห้ามใช้ยากับผู้ที่เคยมีการแพ้ยาตัวนี้ (รู้ได้จากมีอาการผิดปกติจากกินยาพาราเซตามอลในครั้งก่อนๆเช่น ขึ้นผื่นคันและ/หรือแน่นหน้าอก หายใจไม่ออก/หายใจลำบาก) - ห้ามใช้ยาหมดอายุ ทุกคนต้องตระหนักถึงความปลอดภัยจากการใช้ ”ยา” ที่รวมถึงยาแผนปัจจุบันทุกชนิด (รวมทั้งยาแก้ปวดทุกชนิดและยาพาราเซตามอล) ยาแผนโบราณทุกชนิดและสมุนไพรต่างๆเสมอ เพราะยามีทั้งให้คุณและให้โทษ ดังนั้นเมื่อมีการใช้ยาทุกชนิดควรต้องปฏิบัติตามข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิดเสมอ (อ่านเพิ่มเติมได้ในเว็บ haamor.com บทความเรื่อง ข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิด) รวมทั้งควรต้องปรึกษาเภสัชกรประจำร้านขายยาก่อนซื้อยาใช้เองเสมอด้วยเช่นกัน ควรเก็บรักษายาพาราเซตามอลอย่างไร? ยาเม็ด ควรอยู่ในหีบห่อ (แผงยา) ของบริษัทผู้ผลิต เก็บให้พ้นแสงแดด ไม่ควรเก็บในที่ที่มีอุณหภูมิสูงเช่น ตากแดด เป็นต้น ยาน้ำการเก็บเหมือนกับยาเม็ด ควรอยู่ในขวดที่ปิดสนิท อยู่ในที่ที่มีอุณหภูมิไม่เกิน 25 องศาเซลเซียส/Celsius (ถ้าทำได้คือ เก็บในตู้เย็นแต่ไม่ใช่ช่องแช่แข็ง) และหลังเปิดขวดแล้ว สามารถใช้ยาต่อได้ไม่เกิน 3 เดือน (เมื่อยายังไม่เสื่อมสภาพเช่น สี กลิ่น เปลี่ยนไป) อนึ่ง ทั้งยาเม็ดและยาน้ำหากพบว่าลักษณะของยาเปลี่ยนไปเช่น สี กลิ่น เปลี่ยน หรือ แตก หัก ไม่ควรใช้ยา ให้ทำลายยาทิ้ง อีกประการที่สำคัญ ต้องเก็บยาให้พ้นมือเด็กและสัตว์เลี้ยงเสมอ ที่มาจาก haamor
|