Mega We Care NAT B วิตามินบีรวม 40 แคปซูล
วิตามินบี กับการจัดการความเครียด
การผ่อนคลายความเครียดสามารถทำได้หลายวิธี นอกจากการพักผ่อน ออกกำลังกาย ทำสมาธิแล้ว อีกวิธีหนึ่งที่มีผลการวิจัยทางการแพทย์ว่าสามารถช่วยบรรเทาความเครียด และทำให้อารมณ์ดีขึ้นได้ คือ การรับประทานวิตามินบี ปริมาณสูง
วิตามินบี ช่วยผ่อนคลายความเครียดได้อย่างไร
ในภาวะที่ร่างกายเผชิญกับความเครียด สมองและระบบประสาทต้องใช้พลังงานเป็นจำนวนมาก และต้องใช้วิตามินบีมากขึ้นด้วยเพื่อเป็นส่วนประกอบที่สำคัญในการขบวนการสร้างพลังงานจากสารอาหาร ดังนั้นในขณะเครียดวิตามินบีจึงถูกใช้หมดลงอย่างรวดเร็ว ผลก็คือระบบต่างๆ ของร่างกาย รวมถึงสมองและระบบประสาทจะขาดพลังงานในการทำงาน ซึ่งนำไปสู่ภาวะเครียดที่รุนแรงยิ่งขึ้น ผู้อยู่ในภาวะเครียดจึงควรได้รับวิตามินบี ปริมาณสูงเพียงพอเพื่อใช้เปลี่ยนสารอาหารให้เป็นพลังงานแก่ระบบต่างๆ ของร่างกาย รวมถึงสมองและระบบประสาทได้ทันที
วิตามินบี ช่วยให้สมองปลอดโปร่ง ฉับไว อารมณ์แจ่มใส
มีการศึกษาหนึ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับประโยชน์ของวิตามินบีปริมาณสูงต่อภาวะความเครียด โดยให้กลุ่มตัวอย่าง 120 คน รับประทานวิตามินบี 1 ปริมาณ 50 มิลลิกรัม/วัน ต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 2 เดือน ติดตามผลด้านอารมณ์ ความจำ และระยะเวลาการตอบสนอง พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีอารมณ์ที่พัฒนาดีขึ้น คือ ทำให้สมองปลอดโปร่ง อารมณ์ดีขึ้น รู้สึกประปรี้กระเปร่าขึ้น และมีปฏิกิริยาการตอบสนองที่เร็วขึ้นอีกด้วย
จะเห็นว่าวิตามินบี มีบทบาทสำคัญที่ช่วยให้ผ่อนคลาย และยังช่วยให้สมองปลอดโปร่ง มีสมาธิ การเรียนรู้ และอารมณ์ที่ดีขึ้นด้วย
วิตามินบี ช่วยให้พลังงาน พร้อมรับวันใหม่
วิตามินบีแต่ละชนิด จะทำงานร่วมกัน และเป็นส่วนประกอบสำคัญช่วยในการเผาผลาญอาหารกลุ่มคาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน ให้เป็นพลังงานแก่ร่างกายเพื่อใช้ในกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน และวิตามินบียังมีส่วนสำคัญในการเจริญเติบโตและขบวนการสร้างเม็ดเลือดเพื่อนำพาออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์ได้อย่างทั่วถึง ทำให้ร่างกายมีพลังงานพร้อมเผชิญกับภารกิจได้อย่างสดชื่นตลอดวัน
ร่างกายต้องการวิตามินบีมากขึ้น แต่สร้างเองไม่ได้
วิตามินบี เป็นวิตามินที่ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์ขึ้นเองได้ จึงต้องได้รับจากอาหารหรือวิตามินเสริมเท่านั้น และด้วยวัฒนธรรมการบริโภคอาหารจานด่วนที่มีคุณค่าน้อยลง การนิยมบริโภคข้าวขัดสี การหุงต้มที่สูญเสียวิตามินบี 10-50 เปอร์เซ็นต์ สังคมที่มีการดื่มสังสรรค์บ่อยครั้งมากขึ้น ซึ่งพบว่า 50 เปอร์เซ็นต์ของผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำมักขาดวิตามินบี ปัจจัยที่ยากจะหลีกเลี่ยงเหล่านี้ ล้วนส่งผลทำให้ร่างกายได้รับวิตามินบีลดลง
นอกจากนี้การดำเนินชีวิตในสังคมเมืองที่มีการแข่งขันสูง ส่งผลให้เผชิญกับความเครียดจากการทำงาน การเรียน ทำให้ร่างกายมีความต้องการใช้วิตามินบีมากขึ้น จนอาจเป็นสาเหตุให้วิตามินบีไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
ใครบ้างที่ควรเสริมวิตามินบี
- ผู้บริหารทุกระดับ
- ผู้ที่มีความเครียดเป็นประจำ
- นักเรียน นักศึกษา ที่เรียนหนัก
- ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ
- ผู้ป่วยพักฟื้น ผ่าตัด
- การเลือกสูตรวิตามินบี
ควรพิจารณาเลือกสูตรที่ประกอบด้วยวิตามินบีหลายชนิดและครบถ้วน เพราะวิตามินบีจะทำหน้าที่ร่วมกันในการทำให้ปฏิกิริยาต่างๆ มากมายในร่างกาย เป็นไปอย่างต่อเนื่องสมบูรณ์ โดยวิตามินบีที่สำคัญ ได้แก่ ไธอะมีน (บี1), โรโบฟลาวิน (บี2), นิโคตินามายด์ (บี3), กรดแพนโทเทนิค (บี5), ไพริดอกซิน (บี6), ไบโอติน (บี7), อินโนซิทอล (บี8), กรดโฟลิค (บี9), โคลีน (บี11) และ ไซยาโนโคบาลามิน (บี12)
ควรมีปริมาณของวิตามินบีสูงเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย โดยขนาดแนะนำของวิตามินบี แต่ละชนิด คือ 25-50 มิลลิกรัม/วัน
ควรเลือกสูตรสมดุล คือ วิตามินบีแต่ละชนิดมีปริมาณเท่ากัน เพื่อไม่ให้ขัดขวางการดูดซึมซึ่งกันและกัน หรืออาจกล่าวได้ว่า การได้รับวิตามินบีชนิดใดชนิดหนึ่งมากเกินไป จะไปแย่งการดูดซึมวิตามินบีตัวอื่นได้
ประโยชน์ของวิตามินบีแต่ละชนิดโดยละเอียด
วิตามินบี 1 (Vitamin B1, Thiamine)
ช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโต บำรุงความคิด สติปัญญา ระบบประสาท และกล้ามเนื้อให้ทำงานเป็นปกติ ช่วยรักษาโรคงูสวัด การขาดวิตามินบี 1 เป็นสาเหตุของโรคเหน็บชา อาการของโรคนี้เกี่ยวข้องกับระบบประสาท น้ำหนักลดลงเนื่อจากร่างกายมีการเผาผลาญอาหารเพิ่มขึ้น มีความแปรปรวนทางอารมณ์ การเต้นของหัวใจผิดจังหวะ อ่อนเพลียง่าย แขนขาไม่มีแรง รู้สึกชาตามแขนขา มือและเท้า เป็นตะคริว เจ็บปวดที่กล้ามเนื้อ เกิดการบวมของเนื้อเยื่อตามร่างกาย เช่น ขา ถ้าปล่อยไว้ให้เป็นมากๆ อาจถึงขั้นเป็นอัมพาต
วิตามินบี 2 (Vitamin B2, Riboflavine)
วิตามินบี 2 มีบทบาทสำคัญในระบบการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย การเจริญเติบโตของเซลล์ การสร้างพลังงานของร่างกาย และระบบสืบพันธุ์ ช่วยทำให้ผิว เล็บ และเส้นผมมีสุขภาพดี ช่วยเสริมประสิทธิภาพในการมองเห็น บรรเทาอาการอ่อนล้าของสายตา ช่วยลดความเจ็บปวดจากไมเกรน ในกรณีที่ขาดวิตามินบี 2 จะทำให้เกิดแผลที่มุมปากหรือที่เรียกว่าโรคปากนกกระจอก นอกจากนี้ยังมีอาการอื่นๆ เช่น เจ็บคอ คอบวม และลิ้นแห้ง
วิตามินบี 3 (Vitamin B3, Nicotinamide นิโคทินามายด์)
ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ ช่วยในการเผาผลาญไขมัน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบย่อยอาหาร เพิ่มการไหลเวียนของเลือด และลดความดันโลหิต ช่วยรักษาอาการร้อนใน และลดกลิ่นปาก การขาดวิตามินชนิดนี้สามารถทำให้เกิดอาการก้าวร้าว โรคผิวหนัง โรคนอนไม่หลับ และเกิดภาวะสับสนทางจิต ในบางกรณีทำให้เกิดโรคผิวหนังที่เรียกว่า เพลลากร้า (Pellagra) ซึ่งจะมีอาการผื่นผิวอักเสบอย่างรุนแรง
วิตามินบี 6 (Vitamin B6, Pyridoxine)
ทำงานร่วมกับกรดโฟลิกช่วยให้ความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เสริมความแข็งแรงของระบบภูมิคุ้มกัน ป้องกันการเกิดนิ่วในไต ป้องกันโรคทางระบบประสาทและผิวหนังหลายชนิด ช่วยส่งเสริมการสร้างกรดนิวคลีอิกที่ชะลอกระบวนการชราได้ ลดอาการกล้ามเนื้อหดเกร็งในเวลากลางคืน แขนขาชาเป็นตะคริว เป็นยาขับปัสสาวะตามธรรมชาติ การขาดวิตามินชนิดนี้ ทำให้เกิดโรคโลหิตจาง เกิดภาวะซึมเศร้า ผื่นผิวหนังอักเสบจากการอักเสบของต่อมไขมัน ลิ้นอักเสบ ความดันโลหิตสูง
วิตามินบี 12 (Vitamin B12, Cobalamin)
วิตามินบี 12 มีหน้าที่ช่วยให้ระบบประสาทแข็งแรง เพิ่มสมาธิ ความจำ บรรเทาอาการหงุดหงิด สร้างเม็ดเลือดแดงและช่วยให้เซลล์เม็ดเลือดแดงมีความแข็งแรง เสริมสร้างความเจริญเติบโตและช่วยให้เด็กเจริญอาหาร การขาดวิตามินชนิดนี้ทำให้เกิดโรคโรหิตจาง โรคของระบบประสาท
กรดโฟลิก (Folic Acid, วิตามินเอ็ม)
ช่วยลดความเสี่ยงของการเป็นโรคหัวใจและความดันโลหิตสูล ป้องกันการพิการแต่กำเนิดในทารก ช่วยสร้างน้ำนมมารดาหลังคลอด ช่วยให้ผิวพรรณมีสุขภาพดี รับประทานร่วมกับกรดแพนโทเทนิกและพาบา ช่วยชะลอให้ผมขาวช้าลงได้ ช่วยให้เจริญอาหาร แก้อาการอ่อนเพลีย รักษาภาวะโลหิตจาง ดังนั้นกรดโฟลิกจึงเหมาะกับสตรีที่ตั้งครรภ์