
8 เทคนิคเด็ด ตั้งราคาสินค้าให้ยอดขายพุ่ง ด้วยหลักจิตวิทยา !!
ไม่ว่าคุณจะทำ Startup ขาย Product, ขาย SaaS, หรือแม้กระทั่งขายสินค้าบนเว็บไซต์ Kaidee, Tarad, Weloveshopping, Lnwshop ฯลฯ จังหวะที่เราเสนอราคาสินค้าออกไป เป็นตัวกำหนดทุกอย่างว่าจะขายได้หรือไม่ได้
สิ่งสำคัญในการตั้งราคาที่ทำให้ยอดขายดี ไม่ได้ขึ้นอยู่กับตั้งราคาให้ถูกกว่าคู่แข่งเท่านั้น แต่เราต้องรู้หลักจิตวิทยาว่าจะนำเสนอราคาอย่างไรให้ผู้ซื้อตัดสินใจซื้อสินค้าของเราได้ วันนี้ผมมี 8 เทคนิคในการตั้งราคาสินค้า จากคุณ
Nick Kolenda ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาและการทำธุรกิจ ที่จะมาเปิดเผยวิธีการตั้งราคาที่ผ่านการทดสอบมาแล้วว่าได้ผลจริง แถมยังมีผลการวิจัยมารองรับด้วย
มาดูกันครับว่ามีอะไรบ้าง ไม่แน่ว่าหลังอ่านบทความนี้จบ คุณจะได้กลับไปทบทวนราคาสินค้าของคุณใหม่
เราคงเคยเห็นราคาตามป้ายสินค้าต่างๆ เช่น 199 บาท หรือ 29.99 เหรียญ เป็นต้น ซึ่งมีการวิจัยพบกว่า การกำหนดราคาที่ลงท้ายด้วยเลข 9 หรือ .99 นั้นช่วยเพิ่มยอดขายให้กับสินค้าได้มากขึ้น
แต่การกำหนดราคาในลักษณะนี้จะได้ผลดีก็ต่อเมื่อ ตัวเลขด้านซ้าย (ตัวเลขที่อยู่หน้าจุด) ลดลงไปด้วยเท่านั้น
ยกตัวอย่างเช่น
สาเหตุที่เป็นแบบนี้ ก็เพราะเวลาที่สมองของมนุษย์คำนวนราคา เราจะสร้างภาพจินตนาการไว้ที่เลขด้านหน้าจุด ดังนั้นในราคา $2.99 ซึ่งนำด้วยเลข 2 เราก็จะรู้สึกว่า “ราคามันใกล้ๆ เลข 2 นะ”
แต่ถ้าเราเอาเลข 3 นำ คนซื้อก็จะรู้สึกว่า “ราคามันใกล้ๆ เลข 3 นะ” ทั้ง ๆ ที่ $2.99 กับ $3.00 ห่างกันแค่ 1 สตางค์ ไม่ได้กระทบกับกำไรเราเลยด้วยซ้ำ แต่แค่เปลี่ยนจากเลข 3 เป็นเลข 2 ก็ทำให้ความรู้สึกต่างกันมาก
การตั้งราคาแบบให้คำนวนง่ายนั้น จะช่วยลดระยะเวลาการคิดและคำนวนของผู้ซื้อ และจะช่วยทำให้ผู้ซื้อตัดสินใจซื้อง่ายขึ้นอีกด้วย
ยกตัวอย่างเช่น
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การตั้งราคาแบบคำนวนง่าย ไม่ได้เหมาะกับสินค้าทุกประเภท การตั้งราคาแบบคำนวนง่ายนั้น เหมาะสำหรับสินค้าที่ใช้ “อารมณ์” ในการตัดสินใจ เช่น นาฬิกาแบรนด์เนม เป็นต้น
แต่สินค้าประเภทที่ต้องหาข้อมูลก่อนการซื้อเช่น คอมพิวเตอร์ ไม่ควรใช้ราคาที่คำนวนง่าย แต่ควรตั้งราคาตามความเป็นจริงแทน เนื่องจากผู้ซื้อที่จะซื้อคอมพิวเตอร์ ต้องทำการค้นคว้าหาข้อมูลมาก่อนซื้ออยู่แล้ว
เราอาจจะรู้สึกว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่มันก็เป็นไปได้ ตามที่บอกด้านบนว่า การทำให้ผู้ซื้อคิดน้อยที่สุด หรือใช้เวลาประมวลผลนั้น ยิ่งน้อยยิ่งดี ดังนั้นการเขียนราคาแบบใส่จำนวนพยางค์เข้าไปน้อยๆ ก็ช่วยได้เหมือนกัน เช่น
ราคา $27.82 ออกเสียง 7 พยางค์ (Twen-ty-se-ven-eigh-ty-two)
และ
ราคา $28.16 ออกเสียง 5 พยางค์ (Twen-ty-eight-six-teen)
ถึงแม้เราอาจจะเคยได้ยินว่า การรวมค่าขนส่งเข้ากับราคาสินค้าไปเลย และบอกผู้ใช้ว่าฟรีค่าขนส่งจะได้ผลดี แต่ตามหลักจิตวิทยาแล้ว ผู้ใช้จะทำการเปรียบเทียบราคาสินค้าของเรา กับคู่แข่งของเราในตลาดเสมอ
ดังนั้น เมื่อเราแสดงราคาสินค้าที่แยกกับค่าขนส่ง จะทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าของเราถูกกว่าคู่แข่ง ถึงแม้ว่าบางครั้งลูกค้าก็ฉลาดพอที่จะเอาราคาหลักเรา + ค่าขนส่ง ก่อนไปเปรียบเทียบกับคู่แข่ง แต่ลูกค้าก็จะยังติดภาพราคาหลักของเราที่ถูกกว่า ทำให้เราได้เปรียบมากขึ้น
ในกรณีที่สินค้ามีราคาสูงๆ เช่นสินค้าราคา $500 นั้น ทำให้ผู้ซื้อตัดสินใจซื้อยากขึ้น ดังนั้นการเสนอการจ่ายเงินแบบเป็นงวด จะได้ผลดีกว่า ตัวอย่างง่าย ๆ ที่เห็นในไทยก็คือโซนขายเครื่องออกกำลังกายราคาแพง ๆ จะติดราคาผ่อน 10 เดือนกัน (เช่น เครื่องวิ่งราคา 30,000 บาท แต่ติดราคาว่า 3,000 บาท 10 เดือน) ซึ่งทำให้เรามองว่าสินค้าราคาถูกว่าราคาจริง
ถึงแม้ว่าลูกค้าจะนำราคาของเราไปเปรียบเทียบกับคู่แข่ง โดยการนำจำนวนเงินเต็มๆ ของสินค้าที่เค้าต้องจ่ายไปเปรียบเทียบ แต่อย่างไรเสีย ลูกค้าก็มีแนวโน้มที่จะจ่ายเงินให้กับสินค้าที่ดูราคาถูกมากกว่า
ห๊ะ อะไรนะ? ไม่น่าเชื่อว่าตำแหน่งการแสดงราคาสินค้านั้นก็มีผลต่อสินค้าของเราด้วย
สาเหตุคือ เมื่อเราเห็นราคาสินค้าใดๆ ในใจของเราจะสร้างไม้บรรทัดขึ้นมา ซึ่งป้ายราคาสินค้าของเราเปรียบเสมือนไม้บรรทัดนั้น
เมื่อเราแสดงในตำแหน่งมุมล่างซ้าย นั่นหมายความว่าราคาของเราอยู่ในตำแหน่งที่ตัวเลขต่ำบนไม้บรรทัด เช่นเดียวกัน ถ้าเราวางราคาไว้มุมขวาบน ราคาของเราก็เหมือนอยู่ตำแหน่งตัวเลขสูงๆ บนไม้บรรทัดเช่นกัน
ตามหลักจิตวิทยาแล้ว ขนาดตัวหนังสือ ก็มีส่วนในการคิดวิเคราะห์ราคาสินค้าของผู้ใช้ด้วย เมื่อตัวหนังสือเล็ก จะทำให้ผู้ซื้อรู้สึกว่าราคาไม่ได้แพงมาก
เทคนิคนี้รู้จักกันอีกชื่อหนึ่งว่า “Social Validation” คือการนำจำนวนคนที่ใช้สินค้าของเรามาโฆษณา เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้ซื้อกลุ่มใหม่มากขึ้น
มนุษย์เราชอบที่จะทำตัวกลมกลืนไปกับสังคม อยากเป็นส่วนหนึ่งของสังคม เพราะฉะนั้นหลาย ๆ ครั้งการเชิญชวนคนด้วยหัวข้อว่า “มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ…” จะทำให้คนที่อ่านรู้สึกยิ่งใหญ่ขึ้นมา และโดนเชิญชวนไปโดยง่าย
หวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อทุกท่านและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้นะครับ
สุดท้ายนี้ ถ้าท่านสนใจเทคนิคดี ๆ ในการพัฒนาธุรกิจ / Startup ของคุณ และอยากอ่านบทความใหม่ ๆ จากเราก่อนใคร สามารถทำการลงทะเบียน Email ในกล่องสีเหลืองด้านล่างนี้ได้ครับ
ที่มา : http://www.growthbee.com |